อาหารสมุนไพร โอสถไทยสู้โรค

อาหารสมุนไพร โอสถไทยสู้โรค

ย้อนวันวานคนเกิด พ.ศ.2544 สมัย “ไทย เลิฟ ไทย” ปัจจุบันคือกลุ่มเจนแซด ลูกเจนเอ็กซ์–วาย ที่สิ่งแวดล้อมก้าวไกลแทบไม่เหลืออะไรในอดีต จึงขอทบทวนให้คนรุ่นนี้ทราบบางอย่างที่คนรุ่นนั้นได้รับได้รู้

ครั้งนั้น…ขุนคลังผุดไอเดียหนุน “ครัวไทยสู่ครัวโลก” ใช้วัตถุดิบในครัวไทยช่วยเกษตรกรส่งไปขายตลาดโลกกับใช้อาหารไทยดึงดูดคนในต่างแดนมาเที่ยวไทย…ทำท่าว่าจะปั๊วะ ปัง

หมายมั่นปั้นมือคาดหวังกันว่าจะปั้นรายได้จมหู เอาเข้าจริง…“พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา” ด้วยผลผลิตดังกล่าวแพงแสนแพงกับค่าแอร์คอนเทนเนอร์บ็อกซ์ หรือไปทางเรือ 15 วัน สินค้าก็เน่าพอดี

ร้านอาหารไทยในอเมริกาประยุกต์ใช้พริก มะนาว มะละกอ จากอเมริกาใต้ ซื้อได้ถูกกว่าส่งจากไทย…ฟากฝั่งยุโรปเยอรมนี ฝรั่งเศสนั้นก็ชื่นชอบ อาหารไทยแต่ถูกเวียดนามครองตลาดสินค้าเกษตร…ยิ่งอาเซียนเขตร้อนเดียวกันเรียกได้ว่าบ้านเขาก็มีทุกอย่างเหมือนบ้านเรา…เรื่องอะไรเขาจะซื้อ

โครงการนี้จึงเหมือนหมึกที่จางหาย คนเจนแซดเลยไม่เห็น…มันเป็นอย่างนี้นะลูก?

กระนั้นแล้ว “อาหารไทย”…ไม่ใช่สิ่งสิ้นคิดสำหรับชาวโลก ล่าสุด เคมบริดจ์-ออกซ์ฟอร์ด เว็บฯ ได้ยก “ผัดไทย” เป็นอาหารคนทั้งโลก โดยบัญญัติคำสากลว่า “pad–thai” เทียบรัศมี “พิซซ่า” อิตาลีเลยทีเดียว

แต่ดูเหมือนเด็กไทยยุคนี้….จะไม่รู้จักอาหารบ้านตนเองดีเท่าเคเอฟซี ของผู้พันแซนเดอร์ส หรืออาหารญี่ปุ่นร้านฟูจิของนายทานากะ โดยหารู้ไม่ว่าเครื่องปรุงสมุนไพร คือโอสถล้ำค่าเหนือยานำเข้า…

และอยากบอกคนป่วย “โควิด” อย่างแรกที่ใช้ลดอาการอักเสบและยับยั้งการเพิ่มไวรัส ทางการแพทย์ใช้ “ฟ้าทะลายโจร” ก่อนเพิ่มยาแรง “ฟาวิพิราเวียร์” และ “เรมเดซิเวียร์”

บุคคลผู้สร้างตำนานสมุนไพรไทยคือ…พระมหาขวัญชัย อคฺคชโย อายุ 46 ปี 35 พรรษา เจ้าอาวาสวัดคีรีวงก์ (วัดน้ำตก) ตำบลบางมะพร้าว อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ถือตำราฉบับนี้เป็นศาสตร์แห่งความจริงจับต้องได้… ไม่เหมือนสาย “มูเตลู” ที่กำลังฮอตฮิตทางไสยศาสตร์

“อาตมาเป็นรุ่น 6 ที่ได้วิชานี้มา” พระมหาขวัญชัย ว่า

“รุ่น 1 หลวงปู่พัน จันทสิริ ผู้เชี่ยวชาญในเวทอาคมสมัยพระพุทธเจ้าหลวง อดีตเจ้าอาวาสวัดบรรพตวิสัย (วัดในเขา) อำเภอหลังสวน รุ่น 2 หลวงปู่แดง วัดในเขา รุ่น 3 หลวงปู่ลอบ วัดในเขา

…รุ่น 4 หลวงปู่เจียม อดีตเจ้าอาวาสวัดน้ำตก ศิษย์เอกหลวงปู่พัน รุ่น 5 หลวงปู่กระจ่าง วัดน้ำตก องค์นี้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานและสัพพัญญูเรื่อง กระดูกกับพิษงูร้าย…ต่อมาคืออาตมารับถ่ายทอดวิชาจากรุ่นสู่รุ่นมา 35 ปี”

พระมหาขวัญชัย บอกอีกว่า ที่ตั้งวัดน้ำตกอยู่ในป่าเขารูปวงพระจันทร์ ถูกภูเขาโอบถึง 7 ลูก จึงมีสมุนไพรนับหมื่นแสนชนิด แต่มาใช้ในศูนย์เรียนรู้เพื่อรักษาโรคแค่ 400 ชนิด…มีคนทั่วประเทศมารักษาแพทย์แผนประชาชนทั่วไปแล้วหลักหมื่น แพทย์แผนไทยอีกกว่า 3,000 ราย

“อาตมาได้หนังสือรับรองเป็นหมอพื้นบ้าน พัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จากกระทรวงสาธารณสุข มีโรงพยาบาลสมุนไพรรับผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกวัน ในฐานะหมอพื้นบ้านแพทย์แผนไทย…พูดง่ายๆปราชญ์ชาวบ้านนั่นเอง”

การรักษาภูมิปัญญาพึ่งพาตนเองวัดน้ำตก เช่นเมื่อเป็นแผลพุพองเรื้อรังให้ใช้น้ำมันปลาที่แกงกิน 2 ส่วน หุงกับปูนกินหมาก 1 ส่วน ก็จะได้ยาทาแผลชนิดนี้…คนมีปัญหาการขับถ่ายใช้สับปะรดกับกล้วยหอม 1 ผลใส่น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ…จะช่วยดีทอกซ์สารตกค้างในร่างกายได้

คนที่กังวลเรื่อง “โรคหัวใจ”…ใช้รากใบเตยหอมกับลำต้นอย่างละ 1 กำมือ ต้มในน้ำ 2 ลิตรก็รักษาได้…ถ้าเป็นโรคทางดวงตาใช้ใบหม่อน 2 กำมือ ต้มกับน้ำ 2 ลิตรให้เดือด แล้วบีบมะนาว 5 หยด กินเช้า เที่ยง เย็น จนกว่าจะหาย…นี่คือหนังตัวอย่างบางตอนจากวัดน้ำตก จังหวัดชุมพร

ยักย้ายเปลี่ยนโฟกัสไปที่…สวนนงนุงพัทยา อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี อีกหนึ่งสถานที่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้าง “สวนสมุนไพร” แห่งแรกในไทย ตามสวนพฤกษศาสตร์โบราณปาดัว อิตาลี ที่สร้างเมื่อปี ค.ศ.1544…ซึ่งยังได้ชื่อว่าเป็นสวนสมุนไพรแห่งแรกของโลกด้วยที่นี่

กัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา บอกว่า การสร้างสวนสมุนไพรก็เพื่อให้ประชาชนทั่วไปและนักศึกษาได้ใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของพืชสมุนไพร โดยออกแบบให้เรียบง่ายปลูกในกระถางมีป้ายชื่อแสดง เนื่องจากหลายชนิดเป็นพืชล้มลุกอายุสั้น จึงเปลี่ยนต้นใหม่ได้ง่าย…

ทั้งยังมีการจัดกลุ่มพืชสมุนไพรที่มีส่วนช่วยรักษาอาการของโรคได้ทันที

เมื่อเร็วๆนี้สวนนงนุชได้นิมนต์พระมหาขวัญชัย จากชุมพร มาเป็นวิทยากร “กินอาหารสมุนไพรอย่างไรให้ปลอดภัย ปลอดโรค” แก่พนักงานกับบุคคลทั่วไป 60 คน

พระมหาขวัญชัย ย้ำว่า แต่ก่อนคนไทยไม่ขี้โรคเหมือนวันนี้ เพราะกินอาหารสมุนไพรปรุงแทนยาในชีวิตประจำวัน สร้างคุณประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพร่างกาย เช่น ผัดกะเพราช่วยลดไขมันเกาะตับ ขับลมในลำไส้…หากภูมิปัญญาชาวบ้านต้องยอดกะเพราแดง 5 ยอด เคี้ยวบดแล้วกินน้ำตาม 1 แก้ว

เมนูอาหารโอสถนี้…หากได้กินทุกเช้า เที่ยง เย็น จะช่วยขจัดไวรัส ในตับได้อีกด้วย

ถัดมา “ผัดขิง” ลดอาการไข้ ขับลม “แกงป่า” ช่วยให้เลือดลมหมุนเวียน…แล้วก็ “ผัดผักบุ้ง” บำรุงสายตาเช่นกันกับ “ยำตำลึง” ส่วน “ส้มตำ” ช่วยขับถ่าย…“น้ำพริก” หรือ “แกงจืด” ช่วยลดกรดไหลย้อน แต่ถ้าแกงจืดใส่ลูกและรากผักชีจะช่วยบำรุงหัวใจ

แถมด้วย “ยำชะพลูกุ้งแม่น้ำ” รักษาไมเกรน… “ผัดกะเฉด” ลดปวด ตามข้อและกระดูก “ผัดผักกาดเม็กซิกัน” ช่วยคนกระดูกเปราะบาง ดูนี่กิน… “ปลากระบอกต้มขมิ้น” ได้โปรตีนจากปลาและพริกขี้หนูแดงเม็ดใหญ่ได้สารต่อต้านอนุมูลอิสระ กระเทียมขจัดไขมันในเลือด ขมิ้นต้านมะเร็ง ถั่วลิสงบำรุงหัวใจ

กระชายกระตุ้นการไหลเวียนเลือด โกฐจุฬาลัมพารักษาระบบไหลเวียนโลหิต

จึงพอจะสรุปได้ว่า… “อาหารสมุนไพร” คือ “ยา” มีค่าต่อร่างกาย แต่เสียดายเด็กสมัยนี้ไม่ค่อยรู้จักเท่าอาหารต่างชาติมีแต่แป้ง และอาจจะสายไปเสียแล้ว…ที่จะเรียกค่านิยมนี้กลับจากเด็กที่กำลังโตเวลานี้

“เราต้องเริ่มที่เด็กไทยเจเนอเรชันใหม่ ที่เกิดมาเพื่อเรียนรู้โดยพ่อแม่คือผู้สอนในเรื่องอาหารตั้งแต่ครัวในบ้าน นั่นแหละ…เด็กถึงจะถูกปลูกฝังให้เคยชินและเติบโตมากับอาหารไทย” กัมพล ว่า

โมเมนต์นี้…สวนนงนุชจึงพร้อมเป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กดึงคนไทยมาเรียนรู้คุณค่าอาหารผสมสมุนไพรไทย จากแหล่งเรียนรู้แบบ “คิทเชน คลาส” เพื่อนำไปต่อยอดสู่คนไทยและต่างชาติ ให้ได้รับรู้ว่า…อาหารไทยนั้นคือ “โอสถ” ล้ำค่าต่อชีวิต ดั่งคำสอนพระเถราจารย์ รุ่นที่ 6 จากชุมพร

“อโรคยาปรมาลาภา”…ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ “อัตตาหิ อัตตโนนาโถ”…ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน.

Tags: No tags

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *